วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

อาหารช่วยลดน้ำหนัก

         ก่อนที่เราจะลดน้ำหนักเราควรพิจรณาถึงต้นตอของการที่ทำให้น้ำหนักของตัวเราขึ้นตลอดเวลา ซึ่งแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไป เช่น
1. น้ำหนักขึ้นเนื่องจาก ทานอาหารมาก
2. น้ำหนักขึ้นเนื่องจาก ทานอาหารบ่อย
3. น้ำหนักขึ้นเนื่องจาก ดื่มน้ำหวาน
4. น้ำหนักขึ้นเนื่องจาก ทานขนมหวาน
5. น้ำหนักขึ้นเนื่องจาก ไม่ได้ออกกำลังกาย
         เมื่อเรารู้ถึงสาเหตุหลักเหล่านี้แล้ว เราเริ่มทำทั้งหมดพร้อมกันจะช่วยทำให้น้ำหนักเราลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับคนที่ใช้พฤติกรรมแบบเดิมมาเป็นเวลานาน ดังนั้นการค่อยๆ ปรับเปลี่ยนจะช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลดียิ่งขึ้น และมั่นใจได้ว่าจะไม่ล้มเลิกกลางคัน
        
         อาหารที่เหมาะสมกับคนที่ต้องการจะลดน้ำหนัก   อาหารนั้นควรเป็นอาหารที่ให้พลังงานต่ำ ตัวอย่างเช่น
1. อาหารประเภทต้ม
ให้พลังงานไม่เกิน 200 กิโลแคลอรี่  เช่น  ต้มยำกุ้งน้ำใส  ต้มยำปลาช่อนน้ำใส  แกงเหลืองปักษ์ใต้  แกงจืดตำลึงวุ้นเส้น   แกงจืดลูกรอก  แกงจืดมะระยัดไส้   ไก่ต้มฟักมะนาวดอง  สุกี้  เป็นต้น
ให้พลังงานไม่เกิน 300 กิโลแคลอรี่  เช่น  กระเพาะปลา  ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใส  วุ้นเส้นต้มยำ  ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง  เกาเหลาเลือดหมู (ไม่ใส่เครื่องใน)  ก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋นน้ำ  ขนมจีนน้ำเงี้ยว
2. อาหารประเภทยำ
ให้พลังงานไม่เกิน 200 กิโลแคลอรี่  เช่น  ส้มตำไทย  ยำตะไคร้  ยำมะระ  ยำผักหวาน  ยำสมุนไพร  ลาบไก่  พล่ากุ้ง
3. อาหารประเภทนึ่ง
ให้พลังงานไม่เกิน 300 กิโลแคลอรี่  เช่น  เต้าหู้นึ่งทรงเครื่อง  ปลานึ่งสมุนไพร  ปลากะพงนึ่งมะนาว  ปลาช่อนนึ่งจิ้มแจ่ว  ปลาทับทิมนึ่งซีอิ้ว  ปลากะพงนึ่งบ๊วย
4. อาหารประเภทน้ำพริก
ให้พลังงานไม่เกิน 200 กิโลแคลอรี่  เช่น  น้ำพริกปลาร้า  น้ำพริกหนุ่ม  น้ำพริกกุ้งสด  น้ำพริกมะขาม  น้ำพริกตะไคร้  น้ำพริกปลาทู  น้ำพริกลงเรือ  น้ำพริกกุ้งเสียบ
5. อาหารประเภทอื่น ๆ
ให้พลังงานไม่เกิน 200 กิโลแคลอรี่  เช่น  ปลากะพงลวกจิ้ม  ปลาสำลีเผาไก่ตุ๋นมะนาวดอง  ไข่ตุ๋นฟักทอง  เมี่ยงปลาทู  เมี่ยงคะน้า
6. อาหารประเภทผลไม้

คำแนะนำในการกินผลไม้ให้ได้คุณค่ามากที่สุด
         กากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่ายของเสียออก จากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกายจะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้อย่างถูก วิธี คือการกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหารอื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไปตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้า สู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ การห้ามกินผลไม้หลังอาหารนั้นเพราะเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลาย่อย ประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็กได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจาก อาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหารและผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น